nakasendo (18)
nakasendo (18)

หวนย้อนกลับไปพบกับซามูไรและเหล่านักรบที่ถนน Nakasendo

ในหุบเขาคิโซะ (Kiso Valley) ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในธรรมชาติห่างไกลความเจริญของเมืองใหญ่ ยังคงปรากฎร่องรอยของเส้นทางถนนโบราณที่มีประวัติยาวนานย้อนไปไกลถึงยุคที่ญี่ปุ่นยังปกครองด้วยระบบศักดินานำโดยโชกุน ซึ่งเหล่าซามูไรและเกอิชายังคงมีชีวิตโลดแล่นอยู่ เส้นทางสายนี้เรียกว่า “นากะเซ็นโด” (Nakasendo) หรือแปลตรงตัวว่าได้ว่า “ถนนกลางภูเขา”

เส้นทางนากะเซ็นโดเชื่อมต่อเกียวโตเข้ากับเอโดะ (หรือโตเกียวในปัจจุบัน) ผ่านภูเขาในจังหวัดนากาโนะ รวมเป็นความยาวทั้งหมดกว่า 534 กิโลเมตร และยังเป็น 1 ใน 5 ถนนสายหลักสำคัญในอดีตซึ่งพัฒนาขึ้นในช่วงยุคเอโดะ (ค.ศ. 1600-1868) โดยคำสั่งของโชกุนเพื่อใช้ในการเดินทางมารายงานตัวต่อรัฐบาลของเจ้าหน้าที่ทางการ ตลอดถนนทั้งเส้นจะพบกับเมืองเก่า (post town) ที่ใช้เพื่อพักแรมกลางทางกว่า 69 แห่ง ซึ่งจำเป็นต้องแวะพักไปตลอดการเดินทางหลายสัปดาห์จนกว่าจะถึงเอโดะ

nakasendo (2)
บรรยากาศที่เงียบสงบของเมืองเก่าสึมาโกะ (Tsumago) ในตอนเช้า

ด้วยนวัตกรรมในการผลิตรถยนต์และการรถไฟที่พัฒนาขึ้นมา ทำให้บางส่วนของถนนนากะเซ็นโดถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นถนนไฮเวย์และรางรถไฟ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางส่วนที่เหลือรอดการพัฒนาเหล่านี้และยังคงแทบอยู่ในสภาพเดิม ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือส่วนที่อยู่ในหุบเขาคิโซะระหว่างเมืองเก่าสึมาโกะ (Tsumago) และมาโกเมะ (Magome) ถ้าใครอยากรู้ว่าบรรยากาศบ้านเมืองที่เหล่าซามูไรและเจ้าหญิงเคยสัมผัสในอดีตนั้นเป็นอย่างไร ต้องลองมาเดินเที่ยวที่ถนนนากาเซ็นโดดู ซึ่งเราก็ไปลองมาแล้วเพื่อที่จะได้ไปบอกต่อให้ทุกคนที่สนใจได้ไปตามรอยกัน

ภาพพิมพ์เก่าแสดงถึงการเดินทางในสมัยก่อนที่สึมาโกะ (ซ้าย) และมาโกเมะ (ขวา)

การเดินเทรกที่นากะเซ็นโด สามารถเริ่มต้นได้จากฝั่งสึมาโกะหรือมาโกเมะก็ได้ ซึ่งทั้ง 2 ฝั่งสามารถเดินทางมาได้โดยรถไฟและรถบัส (ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางจะเขียนไว้ด้านล่าง) ถึงแม้ว่าการมาเดินเทรกที่ถนนนากะเซ็นโดสามารถมาแบบไปเช้า-เย็นกลับจากโตเกียวหรือเกียวโตได้ แต่แนะนำให้มาเริ่มต้นเดินทางจากเมืองที่ใกล้กว่าอย่างเมืองมัตสึโมโต้ เพื่อที่จะได้ค่อยๆเที่ยวชมและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศและธรรมชาติได้อย่างไม่รีบร้อน

มีหลายความเห็นเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นเดินเทรกว่าเริ่มจากฝั่งไหนดีกว่ากันระหว่างสึมาโกะกับมาโกเมะ กรณีที่เริ่มเดินเทรกจากสึมาโกะ หมายความว่าจะต้องเดินขึ้นเนินเป็นระยะทางที่ยาวกว่า เพราะสึมาโกะอยู่ที่ความสูง 420 เมตร ในขณะที่จุดที่อยู่สูงสุดของเส้นทางเดินเทรกอยู่ที่ประมาณ 801 เมตร และจุดสุดท้ายคือมาโกเมะอยู่ที่ความสูง 600 เมตร

ส่วนกรณีที่เริ่มต้นที่มาโกเมะ หมายความว่าในช่วงแรกของการเดินจะค่อนข้างชัน แต่หลังจากผ่านจุดที่อยู่สูงที่สุดแล้ว การเดินลงก็ง่ายนิดเดียว ซึ่งเส้นทางจากฝั่งนี้เป็นที่นิยมมากกว่า แต่ไม่ว่าจะเลือกเดินทางไหนวิวข้างทางก็สวยไม่ต่างกันค่ะ

คราวนี้เราเลือกที่จะไม่ตามใครและจะเริ่มเดินจากฝั่งสึมาโกะค่ะ!

นั่งไทม์แมชชีนกลับไปในอดีตที่สึมาโกะ

ทริปนี้เริ่มต้นแต่เช้าตรู่โดยนั่งรถไฟ JR จากสถานีมัตสึโมโต้ (Matsumoto) ไปลงที่สถานีนากิโสะ (Nagiso) และต่อรถบัสที่มุ่งหน้าไปสึมาโกะ (Tsumago)

nakasendo (5)
ป้ายรถบัสที่สึมาโกะ

เมื่อถึงเมืองเก่าสึมาโกะ (บางครั้งก็เรียกตามภาษาญี่ปุ่นว่า Tsumago-juku) ก็รู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆในทันที เมืองเก่าแห่งนี้เป็นเมืองเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งจากเมืองเก่าหลายๆแห่งในญี่ปุ่น แบบที่ไม่ต้องแปลกใจเลยหากจู่ๆจะเจอซามูไรออกมาเดินให้เห็นอยู่กลางถนน

nakasendo (6)
ตรอกซอยเล็กๆนำเราสู่กลางเมืองจากป้ายรถบัส

ถ้าหากต้องการบรรยากาศในอดีตของญี่ปุ่น แนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ไปเที่ยวเมืองเก่าสึมาโกะ ที่นี่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์คงความดั้งเดิมเป็นอย่างมาก เผลอๆอาจจะมากกว่าที่เกียวโตด้วยซ้ำไป ถึงขั้นมีการตกลงกันว่าจะไม่มีการ “ขาย ให้เช้า หรือทำลาย” สิ่งก่อสร้างใดๆในสึมาโกะเป็นอันขาด

nakasendo (7)
โชคดีที่วันนี้ฟ้าใส อากาศดี เหมาะกับการเดินเที่ยวเป็นที่สุด

จุดท่องเที่ยวไฮไลต์ของเมืองก็คือตัวถนนนั่นเอง โดยเฉพาะถนนในส่วนที่เรียกว่าเทะระชิตะ (Terashita) ซึ่งเรียงรายไปด้วยบ้านและร้านรวงทำด้วยไม้ โดยมีภูเขาเป็นฉากหลัง ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมสวยงามยิ่งขึ้นไปอีกราวกับภาพวาดเลยทีเดียว

nakasendo (8)
ถนนส่วนที่เรียกว่าเทะระชิตะ (Terashita)
 
nakasendo (9)
ร้านขายเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเรโทรที่มีลวดลายญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์

ในสึมาโกะยังมีอีกหลายจุดท่องเที่ยวให้แวะชม เช่น สึมาโกะฮนจิน (Tsumago Honjin) ซึ่งถูกใช้เป็นที่พักค้างแรมของไดเมียวหรือผู้สูงศักดิ์ในอดีต วัดโคะโตะกุ (Kotoku-ji Temple) ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1500 และซากปราสาทสึมาโกะ ถึงแม้ว่าจะไม่มีตัวปราสาทตั้งตระหง่านอย่างปราสาทมัตสึโมโต้ แต่ก็สามารถมองลงมาจากเขาชมวิวทั้งหมดของสึมาโกะได้

nakasendo (10)
บ้านเก่าโบราณแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกมาจากถนนสายหลักของสึมาโกะ

ตลอดข้างถนนมีร้านอาหารและร้านรวงเล็กๆที่ขายของว่างและขนมท้องถิ่น เช่น “โกะเฮโมจิ” ขนมโมจิย่างราดด้วยซอสมิโสะและวอลนัทรสหวาน ไอศกรีมรสเกาลัด และโซบะอาหารขึ้นชื่อจังหวัดนากาโนะ

nakasendo (11)
ขนมโกะเฮโมจิรสหวาน หอม อร่อย

หลังจากเดินเล่นสักอีกพัก เราจึงตัดสินใจที่จะเริ่มเดินเทรก โดยตามป้ายบอกทางไปมาโกเมะ ซึ่งจะพาเราออกนอกเมืองเก่าเข้าไปในธรรมชาติบ้านนอกของญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าทางเดินไปมาโกเมะจะเข้าใจและเดินได้ง่ายดาย ก็สามารถแวะหยิบแผนที่จากศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวหรือดาวน์โหลดแผนที่ได้จากที่นี่ก็ได้ ระหว่างทางมีป้ายบอกทางทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษไปตลอดทาง ไม่ต้องกลัวหลงเลย

nakasendo (12)
นอกจากแผนที่เดินเทรกแล้ว ที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวยังมีข้อมูลต่างๆอีกมากมายที่เป็นประโยชน์ด้วย

ตามรอยประวัติศาสตร์บนถนนนากะเซ็นโด

 
nakasendo (13)
ทางเดินที่ทอดนำเราเข้าไปป่าสีเขียว

เส้นทางเดินเทรกนี้มีความยาวประมาณ 8 กิโลเมตร ทอดผ่านไร่สวน ทุ่งนา น้ำตกและรูปปั้นหิน (โดะโซจิน) ใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง รวมเวลาพักและหยุดชมธรรมชาติกลางทาง อย่าลืมที่จะเตรียมรองเท้าที่ทะมัดทะแมง และถ้าจะดีที่สุดคือรองเท้าสำหรับเทรกกิ้ง (ถ้ามี)

nakasendo (14)
ป้ายบอกทางตั้งอยู่เป็นระยะๆ เข้าใจง่าย
 
.
nakasendo (15)
ในป่าตลอดทางจะพบกับแผ่นหินและรูปปั้นหินสวยงาม
 
nakasendo (16)
รูปปั้นที่เห็นเป็นรูปคนคือโดะโซจิน ซึ่งเชื่อว่าจะคอยพิทักษ์คุ้มภัยให้กับผู้ที่เดินทาง

ระหว่างเดินจะพบกับเครื่องหมายต่างๆที่ช่วยบอกเส้นทางที่ถูกต้อง รวมถึงป้ายที่เตือนให้ระวังหมี และหลายแห่งก็มีระฆังให้ตีไล่ไม่ให้เข้ามาใกล้ๆในบริเวณ ขณะที่เดินเราอาจจะได้ยินเสียงใครตีระฆังก็ได้

nakasendo-(17)
ระฆังไล่หมีที่ “Nakasendo Lucky Point” (777 เมตร)

เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง จะพบกับร้านน้ำชาให้พักดื่มน้ำชากับทานขนมหวาน แวะพักที่นี่สักเล็กน้อยจะช่วยให้มีกำลังเดินต่อไปสบายขึ้นมากทีเดียว สำหรับพวกเราขอแวะพักที่นี่ก่อนที่จะเทรกต่อ เพราะทางข้างหน้าก่อนจะถึงช่องเขามาโกเมะ (Magome Pass) จุดที่อยู่สูงที่สุดของเส้นทางนั้นค่อนข้างชัน (801 เมตร)

nakasendo (18)
 

ต้นบ๊วยข้างหน้าร้านน้ำชากำลังบานเต็มที่เลย แต่งแต้มสีสันสีชมพูให้สดใสไปทั่วบริเวณ

nakasendo (19)
ถ้าเห็นป้ายนี้ก็แสดงว่าเรากำลังยืนอยู่จุดที่สูงระหว่างสึมาโกะกับมาโกเมะ หลังจากปีนข้ามช่องเขามาโกเมะมาแล้ว ก็เป็นทางลงโดยตลอด เปลี่ยนบรรยากาศจากที่เดินขึ้นเนินมาตลอด

เดินทางถึงเป้าหมาย “มาโกเมะ”

ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงกว่า เราก็เดินทางมาถึงมาโกเมะ โดยก่อนที่จะถึงเมืองจะพบกับจุดชมวิวสวยงามที่สามารถมองออกไปเห็นป่าและภูเขารอบข้าง

nakasendo (20)
หลังจากพ้นจากแนวป่าออกมา ได้เห็นวิวสวยๆแบบนี้ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

เมื่อเข้าสู่เมืองเก่ามาโกเมะ จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างกันของเมืองเก่าทั้ง 2 แห่ง ในขณะที่สึมาโกะให้ความรู้สึกเหมือนกับได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปในอดีตจริงๆ แต่ที่มาโกะเมะกลับมีกลิ่นอายความเป็นสมัยใหม่อยู่ด้วย ถึงแม้ว่าจะมีบ้านเรือนเก่าๆเหมือนกับที่พบที่สึมาโกะและเมืองเก่าแห่งอื่น แต่เนื่องจากมีการซ่อมแซมปรับปรุง จึงทำให้ที่นี่มีบรรยากาศสดใส มีชีวิตชีวาและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากกว่า สามารถแวะเที่ยวพิพิธภัณฑ์วะกิฮนจิน (Wakihonjin Museum) สถานที่พักแรมในอดีตซึ่งได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน รวมถึงร้านขายของและร้านอาหารอีกหลายแห่งที่มีเรียงรายตลอดทาง

nakasendo (21)
ประมาณช่วงเที่ยง มาโกเมะก็คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ

พวกเราต่างก็รู้สึกหิวและเหน็ดเหนื่อยจากการเดินเทรก ก็เลยคว้าเอาสิ่งแรกที่เห็นหรือจะพูดให้ถูกคือ...ได้กลิ่น กลิ่นขนมอบอวนไปในอากาศ สายตาเราก็พลันเหลือบไปเห็นร้านเล็กๆขายขนมหน้าตาเหมือนเค้ก สอดใส่คัสตาร์ด ถั่วแดงและเกาลัดหวานข้างในสุด รู้ตัวอีกครั้งเท้าก็พาเราไปยื่นหน้าร้านแล้ว

nakasendo (22)
ขนมนี้มีชื่อว่า “คุริฟุกุ” (Kuriguku) ถ้ามามาโกเมะต้องมาลองให้ได้!

เดินเล่นถ่ายรูปอีกสักพัก เราก็ถึงเวลาจะต้องกลับมัตสึโมโต้แล้ว เดินไปขึ้นรถบัสมุ่งหน้าไปนากะสึกะวะ (Nakatsugawa) สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดกับสถานีมาโกเมะ

nakasendo (1)
บรรยากาศที่สวยงามของเมืองเก่ามาโกเมะ

การที่ได้มาเดินเทรกที่ถนนนากะเซ็นโดเป็นประสบการณ์แสนวิเศษที่บอกตัวเองว่าต้องมาอีกครั้งให้ได้ ใครจะรู้ คราวหน้าเราอาจจะเริ่มเดินมาจากเกียวโตเลยก็ได้

ช่วงที่ควรไปเที่ยว

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่แนะนำคือในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เดือนเมษายน) และช่วงฤดูใบไม้ร่วง (เดือนตุลาคม / พฤศจิกายน) ซึ่งสามารถชมดอกซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีสีสันสวยงามระหว่างการเดินเทรก ซึ่งจะทำให้การเดินรื่นรมย์ขึ้นไปอีก แต่ไม่ใช่ว่าในฤดูร้อนจะไม่ควรมา เพราะสีเขียวในหน้าร้อนก็สวยงามไม่แพ้กัน หากแต่เส้นทางเดินบางส่วนไม่มีต้นไม้กำบังแดด หากมาเดินในช่วงนี้ก็ต้องเตรียมหมวก (หรือจะซื้อหมวกสานให้เข้ากับบรรยากาศจากร้านค้าแถวๆนั้น) กับน้ำดื่มให้พร้อมเพรียงด้วย!

วิธีการเดินทาง

จากสถานีมัตสึโมโต้ สามารถนั่งรถไฟ JR Limited Express (Wide View) Shinano หรือนั่งรถไฟธรรมดา Local ก็ได้ (Chuo Line) และลงที่สถานีนากะสึกะวะ (Nakatsugawa) แล้วต่อรถบัสไปมาโกเมะ (ดูตารางเวลาบัส)

ขากลับหลังจากเทรกไปสึมาโกะแล้ว ก็ให้นั่งรถบัสสาย Nagiso-Tsugamo-Magome ไปลงที่สถานีนากิโสะ (Nagiso) (ดูตารางเวลาบัส) แล้วนั่งรถไฟ Limited Express (Wide View) Shinano หรือนั่งรถไฟธรรมดา Local (Chuo Line) กลับมามัตสึโมโต้เหมือนกับขามา สามารถเช็คเวลารถไฟได้จากเว็บไซต์ Hypedia

กรณีเริ่มเทรกจากสึมาโกะให้เดินทางแบบเดียวกับด้านบนแต่กลับกันเท่านั้นเอง

 


สำหรับใครก็ตามที่ชอบชมเมืองเก่า บ้านเรือนโบราณ แต่ไม่อยากจะเดินเทรกระหว่างเมืองเก่าทั้งสอง ก็สามารถนั่งบัสสาย Nagiso-Tsugamo-Magome ซึ่งจะวิ่งไปมาระหว่างสึมาโกะกับมาโกะเมะได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเที่ยวรถบัสมีค่อนข้างน้อย อย่าลืมเช็คเวลารถบัสด้วยนะคะ

 

 

MENU