ใครเห็นด้วยบ้างว่าไปเดินป่าฤดูใบไม้ร่วงนี่เป็นอะไรที่ฟินที่สุดแล้ว อากาศก็ดี ใบไม้ก็กำลังไล่เฉดสีสวยงามทั้งเหลือง ส้ม แดง และหนึ่งในสถานที่เดินป่าที่สวยที่สุดในนากาโนะ โดยเฉพาะที่คามิโคจิก็คือที่ “คาราซาวะเซิร์ก” (Karasawa Cirque)
“เซิร์ก” (cirque) เป็นคำศัพท์ทางภูมิศาสตร์หมายถึงสภาพภูมิศาสตร์ของหุบเขาที่มีลักษณะคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวหรือชาม ซึ่งมีความลาดชันสูง เกิดจากการการกัดกร่อนโดยธารน้ำแข็ง คาราซาว่าเซิร์กอยู่บนความสูงประมาณ 2,300 เมตร เป็นหนึ่งในจุดที่สวยที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสีในนากาโนะ อาจจะไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายของคนทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่ชอบเดินป่าแล้ว คาราซาว่าเซิร์กต้องอยู่ใน bucket list ของหลายๆคนแน่นอน นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นเบสสำหรับปีนเขาไปยอดต่างๆของเทือกเขาโฮทากะ (Hotaka) ด้วย สำหรับช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่จะอยู่ช่วงราวๆปลายเดือนกันยายนจนถึงต้นเดือนตุลาคม เร็วกว่าคามิโคจิด้านล่างบริเวณสะพานคัปปะประมาณ 2-3 สัปดาห์
ระยะทาง: ประมาณ 30 กิโลเมตร
ระยะเวลาเดิน ประมาณ 11 ชั่วโมง (2 วัน 1 คืน)
ความชัน: 800 เมตร
ฤดูกาลในการเดิน: เดือนพฤษภาคม – ตุลาคม
แผนการเดินป่า:
Day1: ท่ารถบัสคามิโคจิ > โทะคุซาวะ (Tokusawa)> โยะโกะโอะ ซันโซ (Yokoo Sanso) > คาราซาว่าเซิร์ก
Day 2: คาราซาว่าเซิร์ก > โยะโกะโอะ ซันโซ (Yokoo Sanso) > โทะคุซาวะ (Tokusawa) > ท่ารถบัสคามิโคจิ
เนื่องจากภูเขามันเชื่อมต่อกันทั้งหมด ดังนั้นความจริงแล้วจึงเดินได้หลายเส้นทาง แต่วันนี้เราจะเขียนเล่าประสบการณ์ที่เราเดินจากฝั่งคามิโคจิ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ง่ายและนิยมที่สุดกันค่ะ
ระยะทางทั้งหมดเดินไปกลับเป็นระยะทางประมาณ 30 กม.ทริปนี้เราจัดแผนเดินแบบ 2 วัน ค้าง 1 คืนที่ Karasawa Hutte แต่ถ้าใครเดินช้ามาก เพิ่งเริ่มเดินป่าหรือเริ่มออกเดินทางสาย อาจจะต้องพิจารณานอนที่ Yokoo Sanso แทน แผนการเดินก็อาจจะออกมาประมาณนี้
Day 1: ท่ารถบัสคามิโคจิ > Yokoo Sanso (ค้างคืน)
Day 2: Yokoo Sanso > Karasawa Cirque > Yokoo Sanso (ค้างคืน)
Day 3: Yokoo Sanso > ท่ารถบัสคามิโคจิ
แต่ไม่ว่าจะวางแผนยังไง ก็ต้องให้แน่ใจว่าสามารถไปถึงที่พักบนเขาหรือที่ตั้งเต็นท์ประมาณบ่าย 2-3 (อย่างช้าที่สุดก่อนบ่าย 4 โมง)
อย่างที่เห็นบนแผนที่ระหว่างทางจากท่ารถบัสไปจนถึง Yokoo Sanso จะมีห้องน้ำและร้านอาหารไปตลอดทางสะดวกสบายมากๆ (แต่ก็ยังต้องเตรียมอาหารสำเร็จรูปพกติดตัวไปด้วย) ห้องน้ำที่คามิโคจิใช้ระบบทิปคือต้องจ่ายค่าบำรุงครั้งละ 100 เยน แนะนำให้เตรียมเหรียญร้อยเยนไปด้วย เพราะไม่มีการทอนเงิน นอกจากนี้ห้องน้ำที่นี่ยังเป็นห้องน้ำชีวภาพ ถือว่าสะอาดใช้ได้สำหรับห้องน้ำในป่าเขา แต่อย่าได้หวังที่จะเห็นห้องน้ำไฮเทคของญี่ปุ่นนะคะ
ที่พักบนเขาส่วนมากจะมีเมนูอาหารเที่ยง ขนม เครื่องดื่มขายให้กับนักเดินป่าทั่วไปที่ไม่ได้พักด้วย ยิ่งขึ้นไปสูงราคาก็ยิ่งแพง ซึ่งเมื่อคิดถึงค่าขนส่งก็ถือว่าสมเหตุสมผล ยกตัวอย่างที่ Karasawa Hutte ขายโค้ก 1 ขวดเล็ก ราคา 400 เยน ประมาณ 2.5 เท่าของราคาปกติ
สถานที่ | ร้านอาหาร | ห้องน้ำ |
Myojin-kan | มี (7:00 - 15:00 น.) | มี |
Tokusawa Lodge | มี (8:00 - 16:00 น.) | มี |
Yokoo Sanso | มี (หยุดให้บริการในปี 2020) | มี |
Karasawa Hutte | มี (6:00 - 17:00 น.) | มี |
ถึงแม้ว่าที่พักบนเขาจะไม่ปฏิเสธไม่ให้เข้าพัก (เพราะถ้าปฏิเสธก็เท่ากับปล่อยให้นักเดินเขาออกไปประสบภัย) เราควรที่จะทำการจองล่วงหน้าทุกครั้ง เพราะการเข้าพักโดยไม่จองก่อนจะเป็นการเพิ่มภาระของสตาฟเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ถ้าจองแล้วแต่ไม่สามารถไปได้ก็ต้องแจ้งที่พักให้ทราบด้วย การที่ไม่ปรากฏตัวอาจจะทำให้สตาฟเข้าใจผิดคิดว่าเราประสบเหตุหรือหลงทาง ดีไม่ดีอาจถึงขึ้นเรียกให้ทีมช่วยเหลือออกตามหาตัวเลยก็ได้ สำหรับคนที่พกเต็นท์ขึ้นไปเองไม่จำเป็นต้องจองที่ล่วงหน้าค่ะ
แนะนำ: ที่พักบนเขาส่วนใหญ่ไม่รับบัตรเครดิต ควรเตรียมเงินสดไปให้พร้อม
ที่พักบนเขา | ราคาประมาณรวมอาหาร 2 มื้อ | ที่กางเต๋นท์ | ที่อาบน้ำ |
Tokusawa Lodge | 11,000 เยน~ | มี | มี |
Yokoo Sanso | 11,000 เยน | มี | มี แต่ห้ามใช้สบู่/แชมพู |
Karasawa Hutte | 11,000 เยน | มี | ไม่มี |
Karasawa-koya | 10,500 เยน | มี | ไม่มี |
สำหรับข้อมูลล่าสุด โปรดสอบถามที่พักแต่ละแห่งโดยตรง
Tokusawa lodge เป็นที่พักบนเขาที่สะดวกสบายที่สุดใน 4 แห่ง ถึงขนาดมี Wi-Fi ฟรีและมีชุด amenities ให้ใช้เหมือนโรงแรมทั่วไปด้วย แต่อยู่ห่างจากคาราซาว่าเซิร์กที่สุด Yokoo Sanso ก็เป็นอีกหนึ่งที่พักบนเขาที่สะดวกสบายโดยเฉพาะสำหรับนักเดินเขามือใหม่เพราะมีโรงอาบน้ำให้ชำระเหงื่อไคลสิ่งสกปรกได้ด้วย แต่ห้ามใช้สบู่และแชมพู
Karasawa Hutte และ Karasawa-koya เป็นที่พักบนเขา 2 แห่งที่ที่นิยมที่สุดสำหรับคนที่เดินทางไปคาราซาว่าเซิร์ก แต่ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว Karasawa Hutte น่าจะเป็นที่นิยมมากกว่าเพราะหันหน้าเข้าทางวิว ในช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีคนจะเยอะมาก ถึงขนาดฟูกหนึ่งอันต้องแบ่งกันนอนกับอีก 2 คนเลยทีเดียว สามารถจองที่พักได้ 1 เดือนล่วงหน้าโดยผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น
ใครก็ตามที่จะเดินขึ้นเขาออกนอกบริเวณที่ราบในคามิโคจิไปต้องยื่นแผนการเดินป่า โดยสามารถส่งได้ที่ตู้รับแบบฟอร์มที่ตั้งอยู่ที่หน้าทางเข้าศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวข้างๆห้องน้ำสาธารณะ แบบฟอร์มสำหรับกรอกมีเตรียมไว้ที่ตู้รับ แต่แนะนำว่าให้ดาวน์โหลดแบบฟอร์มและกรอกข้อมูลไปเลยจะดีกว่า จะได้ไม่คลุกคลักและจะได้เช็คได้ด้วยว่าเตรียมของไปครบแล้วหรือเปล่า
ตามหลักการเดินป่าคือออกเดินทางให้ไวและไปถึงที่พักให้เร็ว โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่จะเริ่มออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ 06:30 – 08:00 น. ถ้าใครที่ออกเดินทางช้ากว่านั้นควรจะเร่งเดินทำเวลา หรือไม่ก็วางแผนค้างคืนที่พักที่อยู่ต่ำลงมา เช่นอาจจะนอนที่ Yokoo Sanso แล้วค่อยขึ้นไปคาราซาว่าเซิร์กในวันรุ่งขึ้นแทน จากท่ารถบัสไป Yokoo Sanso เป็นระยะทางประมาณ 10 กม. ใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชั่วโมง เส้นทางในช่วงนี้จะเป็นที่ราบ มีเนินบ้างเพียงเล็กน้อย ถือเป็นการเดินวอร์มอัพร่างกายได้ดีเลย
สำหรับใครก็ตามที่ไม่อยากนั่งไนท์บัสหรือต้องตื่นมาขึ้นรถบัสตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง สามารถเลือกที่จะนอนในคามิโคจิก็ได้
อ่านเพิ่มเติม: โรงแรมแนะนำในคามิโคจิ (มีออนเซ็นธรรมชาติด้วย!)
จากท่ารถบัสคามิโคจิ จะเดินฝั่งไหนของแม่น้ำอะสุซะก็ได้ แต่ถ้าเลือกเดินฝั่งขวา (ฝั่งตรงข้ามกับท่ารถบัส) จะต้องข้ามสะพานเมียวจินกลับมาอีกฝั่งหนึ่ง
หลังจากเดินไปประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็จะเจอกับแลนด์มาร์คแรกคือ “เมียวจินคัง” (Myojin-kan) เป็นที่พักและร้านอาหารไม่ไกลจากบึงเมียวจิน หนทางยังอีกยาวไกล เราเดินจึงเดินผ่านไปโดยไม่แวะหยุดทำอะไร
ทางเดินเดินง่ายมาก ครึ่งหนึ่งของเส้นทางจะเป็นการเดินเลียบแม่น้ำย้อนขึ้นไป ทางด้านซ้ายมือจะมองเห็นแม่น้ำสีฟ้าใสแจ๋วได้เป็นครั้งคราว
จุดถัดไปคือ “โทะคุซาว่า” (Tokusawa) อยู่ห่างจากสะพานคัปปะประมาณเดิน 2 ชั่วโมงถ้าใครที่นี่ตอนช่วงกลางเดือนพฤษภาคมไปจนถึงต้นมิถุนายน จะพบกับดอกนิรินโซสีขาวน่ารักเต็มไปหมดบนพื้นหญ้า เป็นสัญลักษณ์ของการมาของฤดูใบไม้ผลิในคามิโคจิ
บริเวณที่ตั้งเต็นท์ข้างๆ Tokusawa Lodge ล้อมรอบไปด้วยร่มไม้ร่มรื่น เหมาะเป็นสถานที่ตั้งแคมป์มากๆ
เดิน เดิน เดิน!
ฝาแฝดดอกเห็ด!
ออกจากโทะคุซาว่าเดินไปอีก 1 ชั่วโมงก็จะถึงที่พักบนเขาโยะโกซันโซ (Yokoo Sanso) เราหยุดพักและแวะเข้าห้องน้ำที่นี่สักครู่ ก่อนจะเดินข้ามสะพานโยะโกโอฮาชิ (Yokoo Ohashi Bridge) หลังจากนี้ไปจะเป็นการเดินขึ้นเขาจริงๆแล้ว เส้นทางหลังจากข้ามสะพานไปจะเป็นทางเดินก้อนหินช่วงสั้นๆก่อนกลับไปเป็นทางเดินในป่าอีกครั้ง
เดินต่อไปอีก 1 ชั่วโมงจะถึงสะพานฮอนดะนิ (Hondani Bridge) อีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยงามบนเส้นทางนี้ บริเวณรอบๆสะพานจะเป็นโขดหินเล็กใหญ่ระเกะระกะราวกับเป็นม้านั่งธรรมชาติ ทำให้เป็นจุดที่คนนิยมแวะพักและรับประทานอาหาร
เราหยุดพักกันที่นี่ แกะขนมปังแกงกระหรี่ที่ซื้อมาจาก 7-11 กินกัน ระหว่างกินก็มองเมฆที่ลอยเอื่อยๆ บนฟ้า ฟังเสียงน้ำไหลข้างๆตัว ไม่น่าเชื่อเลยว่าแค่นี้ก็ทำให้ขนมปังธรรมดาๆรู้สึกอร่อยขึ้นมาทันตา (แต่ใจจริงแอบอยากกินหอมผัดกับไส้กรอกที่ส่งกลิ่นหอมจากเตาของคนข้างๆ...)
จากจุดนี้ไปทางเดินจะชันมาก ระหว่างเดินขึ้นไป เราเจอคุณป้าคนนึงเดินกะโผลกกะเผลกลงมา มีไม้ดามขาที่ทำมาจากไม้เท้าเดินป่าพันอยู่กับขาข้างหนึ่ง เห็นคุณป้าแกร้องไห้แบบไม่มีเสียงแล้วก็สงสาร หลังจากนั้นก็เจอทีมช่วยเหลือเดินสวนลงมาอย่างเร่งรีบ เดาว่าน่าจะกำลังไปช่วยคุณป้าคนนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนต้องระมัดระวังให้มากนะคะ!
มาถึงอีกจุดหนึ่งที่เป็นไฮไลต์ของเส้นทางคือ ช่วงทางเดินหินสั้นๆ ซึ่งด้านหนึ่งเป็นกำแพงก้อนหินลาดชัน และอีกด้านหนึ่งเป็นหุบเขาสวยงาม เชื่อว่าทุกคนต้องอยากหยุดถ่ายรูปแน่นอน แต่ว่าที่จริงจุดนี้ค่อนข้างอันตรายเสี่ยงต่อการที่หินจะหล่นลงมา ดังนั้นให้เดินผ่านไปไม่ควรที่จะหยุดอยู่นาน
ป้ายนี้บอกตำแหน่งว่าเรามาถึงจุดที่เรียกว่า “S Gare” คำว่า “Gare” ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึงเศษหินขนาดเล็กๆจำนวนมากบนทางลาดบนเขา จุดนี้ไม่มีอะไรพิเศษเพียงบอกว่าเราอยู่อยู่ห่างจากคาราซาว่าอีกเพียงแค่ 1 ชั่วโมง
วิวตลอดทางเดินที่ผ่านมาก็ว่าสวยแล้ว แต่ยิ่งเข้าใกล้คาราซาว่าเซิร์กก็ยิ่งสวยขึ้นไปอีก เพราะเราจะเห็นใบไม้สีเหลือง ส้ม แดงมากขึ้นตามระดับความสูงที่เราไต่ขึ้นไป
หลังจากเดินมานานกว่า 6 ชั่วโมง เราก็มาถึงคาราซาว่าเซิร์กแล้ว! วิวตรงหน้าเราบอกได้คำเดียวเลยว่า “ว้าว!” ไม่น่าเชื่อเลยว่าเทือกเขาโฮทากะที่เรามองเห็นจากสะพานคัปปะจะอยู่ตรงหน้าเหมือนใกล้แค่เอื้อมแค่นี้ (แต่จริงๆยังต้องใช้เวลาเดินและปีนอีก 4 ชั่วโมงกว่าจะถึงยอดที่สูงที่สุด คือยอดเขาโอะคุโฮทากะ) เต็นท์หลากหลายสีสันที่อยู่ด้านล่าง มองดูๆไปก็เหมือนกับว่ามีใครมาโปรยช็อกโกแลต m&m’s ไว้อย่างไรอย่างนั้น
ใครเห็นด้วยบ้างว่าไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการกินของอร่อยๆไปพลางชมธรรมชาติสวยงาม ของดังของร้านคือเมนูโอเด้ง แต่ตอนเรามาขายหมดแล้วเลยสั่งโชยุราเมนมากินแทน แถมที่นั่งดีๆก็มีคนนั่งหมดแล้วเลยต้องนั่งที่ที่ยังว่างอยู่ แต่ที่จริงพอขึ้นมาถึงที่นี่แล้ว ไม่ว่าที่นั่งตรงไหนก็สวยทั้งนั้น
น่าเสียดายว่าหลังจากขึ้นมาถึงไม่กี่นาที ท้องฟ้าก็ครึ้มเมฆขึ้นมาทันที ทำให้ไม่ค่อยได้รูปดีๆเท่าไหร่
เมื่อมองไปที่เซิร์กจะเห็นลักษณะเนินเขาที่เว้าแหว่งเข้าไปเหมือนกับเวลาที่เราตักไอศกรีมออกไปเลย
ที่พักของเราวันนี้คือ Karasawa Hutte เดินลงไปจากระเบียงที่นั่งเพียงไม่กี่ก้าว เป็นที่พักบนเขาที่ค่อนข้างเป็นระเบียงเรียบร้อย สะดวกสบาย ประกอบไปด้วยอาคาร 3 หลัง
เราได้ห้องเตียง 2 ชั้น นอนกัน 8 คน สำหรับที่พักบนเขา ภายในห้องก็สะอาดในระดับหนึ่ง แต่ถ้าใครไม่สบายใจก็สามารถซื้อแผ่นรองนอนแบบใช้แล้วทิ้งมาสอดรองนอนใต้ที่นอนกับผ้าห่มก็ได้ เท่าที่สังเกตดูก็จะมีห้องแบบอื่นที่ทุกคนนอนเรียงกันแบบที่พักบนเขาที่อื่นด้วย เวลาปิดไฟที่นี่คือตอน 3 ทุ่มตรง
อาหารเช้าและอาหารเย็นถูกแบ่งออกเป็น 3 รอบ รอบละ 30 นาที ซึ่งสตาฟจะแจ้งรอบให้เราทราบตอนเช็คอิน
คำแนะนำ: คนที่นอนเต็นท์สามารถใช้ห้องน้ำได้ด้วยโดยเสียเงินครั้งละ 100 เยน ส่วนแขกที่มาพักสามารถใช้ได้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ในตอนเช้าคิวรอเข้าห้องน้ำจะยาวมาก ถ้าไม่อยากรอก็อาจจะต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำก่อนที่คิวจะยาว
หลังเวลาอาหารเย็น เราออกไปบนระเบียงด้านบนเพียงชมไฮไลต์ของคืนนี้ ภาพที่เห็นมองลงไปบริเวณกางเต็นท์นั้นช่างสวยงามอย่างน่ามหัศจรรย์ แสงไฟภายในเต็นท์ที่ลอดออกมาแต่งแต้มความมืดรอบด้านเป็นสีสันสดใสราวกับลูกกวาดเรืองแสง นอกจากนี้ยังเห็นรูปร่างสลัวๆของเทือกเขาโฮทากะด้านหลังตัดกับท้องฟ้ายามโพล้เพล้ที่ใกล้จะมืดสนิทด้วย
ได้ยินมาว่าที่นี่มีสถิติวางเต็นท์จำนวนมากที่สุดถึง 1,400 หลังเพียงใน 1 คืนเท่านั้น ที่เห็นอาคารด้านหลังตั้งอยู่โดดเด่นด้านหลังคือ Karasawa Koya ที่พักบนเขาอีกแห่งหนึ่ง หลังจากเต็มอิ่มกับวิวนี้แล้วก็ไปเตรียมของสำหรับวันรุ่งขึ้น และเข้านิทราหลับฝันดีพร้อมที่จะลุยกับวันใหม่
เช้าวันรุ่งขึ้นค่อนข้างจะยุ่งเล็กน้อย เราตื่นแต่เช้าเพื่อมาเข้าห้องน้ำ (จะได้ไม่ต้องรอคิวนาน) จัดข้าวของ กินข้าวเช้า แล้วไปเตรียมพร้อมจองที่เพื่อดูปรากฏการณ์ morgenrot อันตระการตา ซึ่งเกิดจากการที่เมื่อเวลาพระอาทิตย์ขึ้น จะส่องแสงไปกระทบกับยอดเขาต่างๆ เกิดเป็นแสงที่แดงส้มที่ยอดเขาเหล่านั้น คำๆนี้มาจากภาษาเยอรมันคือคำว่า “morgen” (ตอนเช้า) และ “rot” (สีแดง) ปรากฏการณ์อันน่าประทับใจนี้เกิดขึ้นเพียง 5-10 นาทีเท่านั้น และต้องมีเงื่อนไขต่างๆประกอบกันด้วย เรียกได้ว่าครั้งนี้โชคดีไม่เสียแรงเดิน
จังหวัดนากาโนะนั้นล้อมรอบด้วยภูเขาสูงมากมาย รวมถึงเทือกเจแปนแอลป์ที่ทอดผ่านจังหวัดเป็นแนวยาว เราสามารถชมปรากฏการณ์ นี้ได้จากหลากหลายที่ morgenrot แม้กระทั่งจากภายในตัวเมืองเอง ถ้ามีโอกาส ไม่แน่เราอาจะจะเขียนบทความหัวข้อนี้ก็ได้ค่ะ
เหตุผลหนึ่งที่คนนิยมปีนเขาจากฝั่งคามิโคจิก็เพราะการเดินทางที่สะดวกด้วยเส้นทางรถบัสที่มุ่งสู่คามิโคจิจากเมืองหลักต่างๆ
เมืองมัตสึโมโต้เป็นเมืองที่สำคัญในการตั้งต้นเดินทางไปคามิโคจิ จากสถานี JR มัตสึโมโต้ ชานชาลาหมายเลข 7 นั่งรถไฟสายคามิโคจิ (Kamikochi line) เป็นเวลา 30 นาทีไปลงที่ปลายทางสถานีชินชิมะชิมะ (Shin-Shimashima) หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งรถบัสต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะถึงคามิโคจิ รอบรถไฟและรถบัสมีค่อนข้างถี่ทุกๆชั่วโมง ส่วนรถบัสตรงให้บริการเพียงวันละ 2 รอบ เวลาแรกตอนเช้าตี 5 ครึ่ง และอีกรอบตอน 10:15 น.
ดูตารางเวลารถบัสสายมัตสึโมโต้ – คามิโคจิ >
อ่านเพิ่มเติม:
การเดินทางจากมัตสึโมโต้ไปคามิโคจิโดยรถบัส (ละเอียดที่สุด)
รถบัสออกเดินทางจากสถานีโตเกียวและจากท่ารถบัสชินจูกุ (Shinjuku Expressway Bus Terminal) 2 รอบ คือ รอบกลางดึกและรอบเช้า ซึ่งรถบัสรอบกลางคืนจะใช้เวลาเดินทางนานกว่ารอบเช้า เพื่อที่จะได้ไปถึงคามิโคจิตอนที่สว่างแล้ว ตอนจองสามารถเลือกที่นั่งแบบ 3แถว (กรีนคาร์) หรือแบบธรรมดา 4 แถวได้ แบบ 3 แถวจะมีที่นั่งที่กว้างขวางกว่าและยังมีแจกชุดอเมนิตี้ให้ด้วย
ดูตารางเวลารถบัสสายสถานีโตเกียว – คามิโคจิ >
ดูตารางเวลารถบัสสายชินจูกุ – คามิโคจิ >
นอกจากนี้ยังมีรถบัสที่ออกเดินทางจากชิบุย่าและคาวาโกะเอะด้วย โดยจะให้บริการเพียงวันละรอบ และใช้รถบัสแบบที่นั่ง 4 แถวเท่านั้น
ดูตารางเวลารถบัสสายชิบุย่า– คามิโคจิ >
ดูตารางเวลารถบัสสายคาวะโกเอะ/โอมิยะ – คามิโคจิ >
อีกหนึ่งวิธีเดินทางไปคามิโคจิจากโตเกียวคือ นั่งรถไฟ JR limited express Azusa (2.5-3 ชั่วโมง / 6,900 เยน) หรือรถบัสอัลปิโก้ (3.15 ชั่วโมง / 3,800 เยน) ไปมัตสึโมโต้ก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนไปนั่งรถไฟรถบัสต่อไปคามิโคจิ